เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ มิ.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาฝนตกฟ้าร้อง เห็นไหม เวลาฝนตกฟ้าร้องมันเหมือนกับธรรม ถ้าธรรมะภาษาของธรรม ฝนตก ฟ้าร้องฝนไม่ตก เวลาเราทำประพฤติปฏิบัติ ฟ้ามันร้องแล้วฝนไม่ตก ฝนมันไม่เกิดกับเรา ถ้าฟ้าร้องฝนตกลงมา มันจะชุ่มเย็นมาก ชุ่มเย็นในหัวใจ

การประพฤติปฏิบัติธรรม มันต้องเป็นคนมีวาสนา ถ้าวาสนาของคนอยากประพฤติปฏิบัติ อันนี้วาสนาเกิดตรงนี้ เราเวลาประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าไม่สมความปรารถนาเราเราว่าเราไม่มีวาสนา ถ้าคนมีวาสนา เราหาไปในประชากรของโลกสิ ประชากรของโลกเป็นชาวพุทธนี้น้อยมาก น้อยนะ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ ๓ ของโลก ที่ประชากรถือชาวพุทธ

แล้วหันกลับมาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาพวกทางยุโรปเขาอยากจะประพฤติปฏิบัติ เขาต้องพยายามศึกษา เขายังหาครูบาอาจารย์ หาครูบาอาจารย์นะ แล้วเขาก็คิด เราเคยคุยกับพระฝรั่งนะ เขาคิดว่าพอจะทำได้ แต่เวลาพอมาปฏิบัติจริงๆ เข้า เขาบอกว่ายากพอสมควร คำว่ายากพอสมควรของเขา เขาพยายามทำของเขาเต็มที่ เขาพยายามทำของเขาเต็มที่ ยากพอสมควร แต่คนเราถ้ามีความมุ่งหมายจะทำสิ่งนี้ได้ ทำเพื่อว่าทำให้ฝนมันตกภายในหัวใจของเรา มันเป็นปัจจัตตังนะ

ปฏิบัติธรรมเป็นปัจจัตตัง คือใจนี้มันชุ่มชื่น ใจนี้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ แล้วใจมันจะรับรู้สิ่งต่าง ๆ แล้วมันจะแปลกประหลาดเข้ามาเรื่อย ผู้ที่เข้า เห็นไหม เป็นกัลยาณปุถุชน จิตสงบของเราขึ้นมาเป็นกัลยาณปุถุชน จิตของเราเป็นปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส มันคิดไปประสาเรา ถ้าคิดไปประสาเรามันไม่เป็นปัจจัตตัง มันไม่มีความชุ่มชื่นของใจ ฟ้าร้องนะ ฝนไม่ตก ฝนไม่ตกมันก็เข้าไม่ถึงใจ ปัจจัตตังความสัมผัสของใจมันไม่มี

แต่ถ้าปัจจัตตังความสัมผัสของใจมันมี มันสัมผัสกับความสงบ เห็นไหม นั้นน่ะฝนตกมันชุ่มชื่นในหัวใจ ถ้าใจมันชุ่มชื่นขึ้นมา มันเป็นการยืนยันกับเราว่าธรรมมีจริง ธรรมมีจริง ประพฤติปฏิบัติเข้าไปจนชำระกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันจะแปลกประหลาดมหัศจรรย์กับหัวใจของเรามาก

แล้วมันก็มีความเห็นอีกอันหนึ่ง เห็นไหม เป็นสัมมาทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นชอบ มันต้องมีความยืนตัวของเรา ถ้าทิฏฐิของเราเป็นทิฏฐิแล้วเราจะยืนของเราไม่ได้เลย ทิฏฐิของโลกเขา โลกนี้เป็นทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นกิเลสพาคิดทั้งหมดเลย คนเราเกิดมาๆ จากกิเลส สิ่งที่มีกิเลสคือมีความรู้สึกของใจ ใจนี้มันมีความรู้สึกของมัน มันคิดออกมา มันคิดตามประสาของมันคืออวิชชาทั้งหมดเลย คิดไปตามประสานั้น แต่มันก็มีความศรัทธามีความเชื่อ เห็นไหม สิ่งนี้มันทำให้แหวกออกได้ไง สิ่งที่แหวกออกจากความคิดเดิมของเรา ความคิดเดิมเป็นสุตมยปัญญา สุตมยปัญญาคือการศึกษา การศึกษาเป็นความคิดอันหนึ่ง การศึกษาความใคร่ครวญเป็นความคิดอันหนึ่ง แล้วเราคิดได้ขนาดนี้ คิดได้ขนาดนี้คิดไปขนาดไหนก็แล้วแต่มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิเข้ามาให้มันย้อนสงบเข้ามา แล้วมันจะมีความคิดที่ลึกเข้าไปๆ

แต่คนเราจะไปติดความคิดของเราไง พอเราคิดแล้วเราติดกับความคิดของเรา เราว่าความคิดอันนี้มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ มันจะมีความดูดดื่มของใจตลอดไป ใจจะติดตลอดไปนะ ความคิดอันนี้ยอดเยี่ยมมาก แล้วพอมีความคิดอันใหม่มามันก็ลบล้างความคิดอันเดิม เห็นไหม นี่ยอดเยี่ยมมากๆ ยอดเยี่ยมเข้าไปเรื่อยๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสเอาไว้ว่า ธรรมนี้มันลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งที่จะเข้าไปสัมผัสได้ยาก ลึกซึ้งมากๆ จริงๆ

มันถึงว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่มาตรัสรู้ธรรม จะไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ จะรู้ธรรมนี้ได้จะต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นกับพระปัจเจกพระพุทธเจ้า เห็นไหม พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องสร้างสมบารมีมามหาศาลถึงจะเข้าถึงตรงนั้นได้

แต่เราเป็นสาวกะ สาวกผู้ได้ยินได้ฟัง ผู้ได้ยินได้ฟังแล้วเชื่อ มีความเชื่อมีอำนาจวาสนาแล้ว อำนาจวาสนาเราเราสร้างมาขนาดนี้ คนเราเกิดมาพร้อมกับความกำมือ เห็นไหม เด็กเกิดมาพร้อมกับการยึดมั่นถือมั่น คนตายไปพร้อมกับแบมือออกไป ศพเวลาตายออกไปแบมือออกไป ชีวิตเกิดมามีเท่านี้

ชีวิตเกิดมาแล้วเราก็ประมาทในชีวิตไง เราตื่นในโลก เราอยู่กับโลกไป เราคิดว่าสิ่งนั้นจะเป็นสมบัติของเรา สิ่งนั้นจะเป็นที่พึ่งของเรา นี่สิ้นสุดแล้วถ้าเราเป็นมรณานุสติ เห็นไหม คนคิดถึงความตายตลอดเวลา มันจะไม่ตื่นเต้นไปกับโลกเขาจนเกินไป ไม่ตื่นเต้นไปกับโลกนะ ชีวิตนี้ดำรงไป ต้องดำรงไป เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐที่สุด เพราะมนุษย์สมบัติเป็นของที่ประเสริฐมาก เวลาเราคิดเราจินตนาการไป เวลาสัตว์มันเกิด สัตว์มีมหาศาลเลย แล้วตายแล้วไปไหน คนเราตายแล้วๆ ไปไหน เวียนตายเวียนเกิด เกิดมาได้อย่างไร

ถ้าคิดจะย้อนกลับมา แล้วคิดย้อนกลับมาถึงเรานะ จิตวิญญาญนี้มีมหาศาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาปุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติไปไม่มีที่สิ้นสุด มีจิตดวงเดียวนะ จิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดวงเดียว ไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีที่สิ้นสุด

แล้วจิตของพวกเรามันมีกี่ดวง เห็นไหม ของสัตว์โลกมันอยู่มีตลอดไปขนาดไหน มันถึงต้องเวียนตายเวียนเกิดไง มันถึงพยายามแสวงหาที่เกิด จิตเวลาเกิดขึ้นมา ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นมาในครรภ์ของมารดา เป็นมนุษย์สมบัติประเสริฐที่สุด แล้วเวลาเกิดขึ้นมาแล้ว เห็นไหม เวลาว่าติดโลกๆ คนเราเกิดมาทุกข์ยากก็มีนะ

ทุคตะเข็ญใจสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็มี เวลาปฏิบัติขึ้นมา กินข้าวไม่เคยอิ่มแม้แต่มื้อเดียว พระอรหันต์นะ เวลาฉันข้าวไม่เคยอิ่มเลยแม้แต่นิดเดียว เวลาทำทุกข์ไปขนาดนั้น แต่ก็มีอำนาจวาสนาเป็นถึงพระอรหันต์เหมือนกัน ทำที่สุดของทุกข์ได้ พระสีวลีลาภมหาศาลเลย มันไม่เหมือนกัน ความจริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน ความคิดความเห็นของคนก็ไม่เหมือนกัน เวลาสมุจเฉทปหาน กิเลสชำระออกไปแต่ละชั้นก็ไม่เหมือนกัน

เราถึงต้องพยายามสร้างสมของเราไง สะสมของเรา สร้างสมของเราขึ้นไป ถึงว่าต้องสละทาน ทานของเรา ทานสละออกไปมันเป็นการสร้างสมบารมีของเรา ถ้าบารมีของเรามีขึ้นมา เราสร้างสมบารมี เห็นไหม บารมีเกิดมาจากไหน เกิดมาจากการประพฤติปฏิบัติ นั่งอยู่เฉยๆ ไม่มีหรอก อยู่เฉยๆ ของเรามันก็เป็นประสาเรา ถ้าเรามีการเผยแผ่ มีการแสวงหาธรรม มีการบริจาคมีการทานออกไป มันจะสร้างสมอันนี้ขึ้นมา สร้างสมเพราะอะไร เพราะมันเป็นของเรา เราเป็นคนสละออกไป เรารู้ของเราขึ้นมาตลอดไป นี่มันสะสมขึ้นมา มันรู้ตัวขึ้นมา มันเป็นทิพย์ เห็นไหม

จากออกไปมันเป็นวัตถุ มันเป็นสิ่งที่ว่าอยู่ในโลกนี้มันเป็นเครื่องของโลกไป มันจะเป็นประโยชน์ของคนที่ฉลาด คนฉลาดเอาไปทำประโยชน์ เห็นไหม คนที่ไม่ฉลาดสิ่งนั้นเป็นโทษทับถมใจของตัวเอง แล้วเอาไปทำให้จริตเราเสียนิสัยก็ได้ นั้นเป็นเรื่องที่ว่ามันไม่ฉลาดกับตัวเอง ติดข้องกับเขาไปไง นั่นน่ะคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาคิดแบบนั้น คนที่มีอำนาจวาสนาจะคิดถึงสละทาน เห็นไหม มีทาน มีศีล มีภาวนา มันจะคิดถึงใจของตัวเอง สิ่งนั้นพึ่งไม่ได้ สิ่งที่อาศัยชั่วคราวๆ พึ่งไม่ได้ เห็นไหม อาศัยชั่วคราว ทุกสิ่งต้องสละไป

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด จิตของเราต้องตายไปจากเรา ต้องตายไปแน่นอน ต้องมีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วมันพลัดพรากมาตั้งแต่เด็ก เราก็ไม่เคยเห็น สิ่งที่พลัดพรากขึ้นมา เพราะเราไม่ใคร่ครวญสิ่งนั้น แต่เราใช้ปัญญาใคร่ครวญของเรานะ ปัญญาพิจารณาของเราย้อนกลับไป มันจะเห็นว่านี่วันเวลาของเราเสียไปล่วงไปๆ เวลามันจะมีประโยชน์กับเราขึ้นมาไหม? มันจะเห็นประโยชน์ของเวลาไง

ถ้าประโยชน์ของเวลา เห็นไหม เวลา ๒๔ ชั่วโมงเป็นมิติหนึ่งของเรา เวลาของสัตว์โลกต่างๆ มันก็หมุนไป เวลาชีวิตของสัตว์ ๕ วัน ๗ วัน เดือนหนึ่งก็แล้วแต่ ชีวิตของสัตว์ เรานี้ ๘๐ ปี ๑๐๐ ปีของเรา เราอยู่ของเราได้ อันนี้เราสะสมได้ไหม? ถ้ามันเป็นความทุกข์นะ ทุกข์ตั้งแต่เกิดจนตายทุกข์ไปมาก แล้วเมื่อไรมันจะสิ้นสุดเสียที เบื่อหน่ายในชีวิตถึงกับทำลายตัวเองก็มี

ทำลายตัวเอง เห็นไหม ทำลายตัวเองแล้วมันก็เป็นการฆ่าตัวเอง มันก็เป็นกรรมของเรา กรรมที่ว่าทำสมบัติสิ่งที่เป็นสมบัติของเรา ถ้าเรามีใจของเรา เรามีชีวิตของเราเราแสวงหาสิ่งนี้ได้ เรารู้ได้ เหมือนกับเราไปเจอสมบัติ ถ้าเราเจอสมบัติสิ่งใดเรามีความรู้สึก เราบอกเราได้ เราจะไปบอกใครๆ จะเห็นกับเรา แต่ถ้าเราเห็นของเราๆ รู้ได้

นี้ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติน่ะ การแสวงหาสมบัติของใจ ใจนี้มันสัมผัสเอง มันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม เห็นไหม ทางอันเอก พระพุทธเจ้าบอกทางอันเอก เอกอันนี้ไง มรรคโค ทางอันเอก มรรคอริยสัจจัง มรรคจากภายใน มรรคจากภายในเราต้องฝึกฝนของเราขึ้นมา มรรคจากภายนอก สัมมาอาชีวะสิ่งต่างๆ นั้นเป็นมรรคของโลกเขา โลกเขาคิดกันเป็นประสานั้น สัมมาอาชีวะๆ เขาเลี้ยงชีวิตของเลี้ยงชีวิตอย่างนั้น แต่เขาก็ทุกข์ของเขา

แต่เวลามันทุกข์ใจของเราขึ้นมา เราเลี้ยงชีวิตของเรามาอย่างไร ถ้าเราเลี้ยงชีวิตของเราขึ้นมาเลี้ยงหัวใจของเราชอบขึ้นมา มันจะมีความสุขความทุกข์ขนาดไหนมันก็พอประทังไปนะ มันจะเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่านั้นไง สิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่านั้น ที่เป็นปัจจัตตังที่ใจสัมผัสอันนั้น มันรู้สิ่งนั้นแล้วมันแสวงหาสิ่งนั้น มันต้องการสิ่งนั้น ถ้าต้องการสิ่งนั้นมันอดทนได้

ความทุกข์ เวลาประพฤติปฏิบัติเร่งความเพียรขึ้นทุกข์ขนาดไหน ทำไมมันต้องเอาเข้าแลกล่ะ ทำไมเราพอใจจะแลก คนเราเจอความทุกข์ มันเวลามีความทุกข์มีสิ่งต่างๆ ที่ไม่พอใจ มันพยายามเบี่ยงเบนได้ เห็นไหม หลบเลี่ยงได้ แต่เวลาปฏิบัติธรรมทำไมเราพอใจล่ะ เราพอใจอดอาหาร เราพอใจอดนอนผ่อนอาหาร อดนอนผ่อนอาหารเพื่ออะไร เพื่อไม่ให้สิ่งที่ว่ามันเป็นเราๆ สิ่งที่เป็นเรา มันคุมความคิดของเราอยู่ สิ่งที่เป็นเรา เห็นไหม กิเลสมันมีอำนาจมาก ถ้ามันมีอิสรภาพของมัน เห็นไหม นี่กินดีอยู่ดีมันต้องเป็นไปตามอำนาจของมัน เราลดทอนมัน เห็นไหม อดนอนผ่อนอาหาร เราไม่ได้อดนอนผ่อนอาหารเพื่อทำลายเราหรอก เราอดนอนผ่อนอาหารเพื่อจะให้กิเลสมันอ่อนตัวลง ถ้ากิเลสมันอ่อนตัวลงๆ มันจะมีความคิดใหม่เกิดขึ้นมา

ความคิดอันนั้นมันเป็นจินตมยปัญญา แล้วเราทำความสงบของใจขึ้นมา มันจะเริ่มเกิดขึ้น แล้วจะวิปัสสนา ยกขึ้นวิปัสสนา มันจะเกิดเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมา พระโสดาบันเห็นสมบูรณ์ เห็นไหม เห็นมรรคสามัคคีครั้งหนึ่ง มรรครวมตัวหนหนึ่งมันก็เป็นพระอริยบุคคลชั้นหนึ่ง มรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๘ จำพวก เกิดขึ้นมาจากมนุษย์คนเดียว มนุษย์คนเดียวเป็นได้ถึงแปดวาระ แปดวาระเพราะอะไร เพราะเวลาจิตมันพัฒนาขึ้นไป เป็นวาระหนึ่งก็เป็นโสดาปัตติมรรค เห็นไหม เวลามันสมุจเฉทปหานเข้าไปก็เป็นโสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล แปดวาระของคนที่เป็น นี่มันเจริญพัฒนาขึ้นไปได้ จิตนี้มันถึงพัฒนาขึ้นไปแต่ละบุคคลเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปไง

แต่ของเราเป็นปุถุชน เราปุถุชนเราก็คาดหมายไป ความคิดของเราไป มันเป็นการว่าเอาความคิดของเราปล่อยวางก็คือวางประสาเรา วางความคิดของเรา แต่ไม่เข้าใจหรอกว่าเวลามรรคมันเกิดขึ้นน่ะ การจะปล่อยวางนี่มรรคมันจะรวมตัวกันอย่างไร มันสมุจเฉทปหานอย่างไร มันต้องทำลายแล้วมันถึงจะปล่อยวาง มันปล่อยวางโดยธรรมชาติของมัน

แต่การปล่อยวางของปุถุชนคือการปล่อยวางแบบหินทับหญ้าไว้ เห็นไหม กดมันไว้ ไม่รับรู้มัน ปฏิเสธมัน สิ่งที่ปฏิเสธมัน มันปฏิเสธไปได้ชั่วคราวเดี๋ยวก็เกิดอีก เพราะอะไร เพราะสิ่งที่จริตนิสัยของคนชอบสิ่งใด สิ่งใดที่ตัวเองชอบมันจะสะกิดใจแล้วมันจะคิดสิ่งนั้นแล้วมันจะฟูขึ้นมา สิ่งนี้จะเกิดขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมันมีตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยากคือกิเลสในหัวใจไม่ได้ทำลายออกไป มันต้องมีมรรคโค มีภาวนามยปัญญานี้เข้ามาทำลายมัน ถ้าภาวนามยปัญญาอันนี้ทำลายมัน มันทำลายตัณหาความทะยานอยาก ทำลายเชื้ออันนั้น เห็นไหม ถ้าทำลายเชื้ออันนั้น เชื้ออันนั้นติดเขาไม่ได้ ถ้าไม่มียางเหนียวไม่มีสิ่งที่ติด

โลกนี้ก็เป็นเรื่องของโลกเขา อาหารตามร้านอาหาร เห็นไหม เวลาเรากินอาหารเรากินอิ่มเดียวเท่านั้นล่ะ อาหารในโลกนี้มีมหาศาลเลย มันก็เรื่องของเขา เรื่องของอาหารเขาไม่ใช่เรื่องของเรา เราไปแบกภาระทำไม อันนี้ก็เหมือนกัน เรื่องของโลกเขาเป็นเรื่องของโลกเขา มันแบ่งได้ไง เรื่องของเขากับเรื่องของเรา ถ้าเรื่องของเราคือความสุขของเรา ความทุกข์ของเรา เราแก้ไขของเราได้ เรื่องของเขาก็เป็นเรื่องของเขา ตัณหาความทะยานอยากมันไม่มี มันไม่ไปติดเขาหรอก

แต่นี่มันมีตัณหาความทะยานอยากจากของเรา เห็นไหม มันมีในใจของเรา เราติดเขา ติดเพราะความคิดของเรา มันติดเพราะความเกิดขึ้นในความคิดของเรา พอติดขึ้นมามันก็มีความหลง มีความหลง มีความโลภ มีความโกรธ โกรธขึ้นมาทำให้ใจฟูขึ้นมานั่นน่ะมันก็เป็นความทุกข์ นี่เกิดแน่นอนเลย ถ้าคิดดีมันก็เกิดดี คิดชั่วมันก็เกิดชั่ว เกิดตามประสาอันนี้

อาภรณ์ของใจคือความคิด ขันธ์ ๕ กับใจไม่ใช่อันเดียวกัน แต่มันเกิดดับกับหัวใจ คิดดีขึ้นมาเราใส่อาภรณ์ที่สวยงาม เราใส่อาภรณ์ที่ดี เวลาตายในขณะนั้นมันเกิดดีแน่ ถ้าคิดชั่วขึ้นมาอาภรณ์ของมันสิ่งที่ไม่ดี มันมีความคิดที่หนักหน่วง เวลาตายแล้วมันจะไปไหน สิ่งนี้มันเกิดขึ้นในหัวใจ มันเกิดดับในหัวใจ แล้วเราทำลายหมด

ขันธ์นี้ไม่ใช่จิต ทำลายขันธ์ออกไปจากจิตทั้งหมดด้วยภาวนามยปัญญา นี่ปัจจัตตัง ถ้าฝนตก เห็นไหม ถ้าฟ้าร้องฝนมันตกๆ จากใจดวงนั้นจะชุ่มเย็นกับใจดวงนั้น ฟ้าร้องตลอดเวลาแต่ฝนไม่ตก มันมีแต่ความแห้งแล้งนะ มีความต้องการ มีความเจตนา มีความอยากได้อยากดี แล้วมันไม่สมความปรารถนาเพราะฝนไม่ตกให้ความชุ่มเย็นในหัวใจ

ถ้าฝนตกชุ่มเย็นในหัวใจของเรา เราพยายามทำขึ้นมาได้ มันแลกขึ้นมาจากความเพียรของเรา ความเพียรชอบ ถ้าความเพียรชอบมรรคก็เกิดขึ้นจากใจ แล้วก็วนขึ้นมาจากภายใน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตรงนี้ไง เราทำทาน ศีล ภาวนา ขึ้นมาก็เพราะให้หัวใจนี้มันชุ่มชื่น ให้หัวใจที่มีหลักเกณฑ์ หัวใจที่มีหลักเกณฑ์มันเป็นอามิส สิ่งที่อามิสมันต้องอาศัยกันไป มันต้องอาศัยของเขาแล้วมันจะเกิดขึ้น แต่การปฏิบัติบูชา การภาวนามันเกิดขึ้นมาจากใจ มันไม่ต้องเป็นอามิสไง

ความสุขหาได้จากใจ ความสุขหาได้จากเรานะ มันอิ่มเต็มของมันแล้วสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ไม่มีความหมาย โลกนี้อยู่เป็นของเขาไป คนที่ว่าทำใจของตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว โลกนี้มันเป็นเรื่องของเขา มันเพียงแต่อาศัยกันไป เพื่อให้ธาตุขันธ์ถึงที่กาลเวลาแล้วสิ้นสุดไปเท่านั้น

มันเป็นประโยชน์กับใจ ประโยชน์กับใจคือว่ามันอิ่มเต็มแล้วมันไม่เกี่ยวกับโลก โลกเจริญแล้วเสื่อมมันเรื่องของโลกไม่ใช่เรื่องของใจดวงนั้น แต่ถ้าเราเป็นเจ้าของ นี่ทุกข์ยากเกิดกับเรา สิ่งนั้นเจริญขึ้นถึงเสื่อมลงเราจะเป็นเจ้าของไป

ไม่มีใครเป็นเจ้าของหรอก สมบัติผลัดกันชม ใครมีอำนาจวาสนาคนนั้นก็แสวงหาได้ คนไหนทุกข์ยากมันก็แล้วแต่แสวงหา แต่ก็อาศัยกันไป แต่หัวใจนี้สำคัญมาก หัวใจนี้ทำลายแล้วถึงที่สุดได้ พิจารณาของเราเข้ามา ย้อนกลับเข้ามา นี่ฝนตกแล้วชุ่มเย็นในหัวใจ เอวัง